ความยุติธรรมที่ล่าช้าก็คือความอยุติธรรม (justice delayed is justice denied) เฉกเช่นคำขวัญศาลแรงงานที่ว่า "ประหยัด สะดวก รวดเร็วและเที่ยงธรรม" ก็ด้วยการตระหนักว่าความยุติธรรมมิใช่เพียงการตัดสินโดยองค์กรตุลาการที่เป็นกลางเท่านั้น หากต้องมิใช่กระบวนการที่ใช้เวลายาวนาน เพราะคำตัดสินที่มาอย่างเชื่องช้าอาจทำให้ผู้ได้รับความเสียหายไม่สนใจต่อการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ทั้งยังทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างคู่ความที่ไม่มีความเท่าเทียมกัน

สหภาพแรงงานไดกิ้น ตอนที่ 1 : เข้าใจคำว่า “ปิดงาน-งดจ้าง ตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518” และผลกระทบจากการปิดงาน

สหภาพแรงงานไดกิ้นอมตะรักษ์เสรี เป็นสหภาพแรงงานที่ฉันมักอิจฉาเสมอ เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา โบนัสและสวัสดิการของบริษัทแห่งนี้ คือ บริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด นับว่าอยู่ในระดับที่ดีแห่งหนึ่งของชาวโรงงานในแถบชลบุรี-ระยอง

นี้ไม่นับบริษัทมักมีกิจกรรม event ต่างๆที่ถูกใจพนักงานเป็นอย่างมาก เช่น ล่าสุดเมื่อปีที่แล้วก็จัดกิจกรรมรถแห่ให้พนักงานในช่วงเวลาทำงาน เป็นต้น

สหภาพแรงงานไดกิ้นอมตะรักษ์เสรี ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2548 ประธานสหภาพแรงงานคนปัจจุบัน นายมานิตย์ ปิยัง ก็เป็น 1 ในผู้ก่อตั้งสหภาพแรงงานแห่งนี้ และเป็นประธานมายาวนานถึง 19 ปีแล้ว

มีสมาชิกประมาณ 1,500 คน จากพนักงานทั้งโรงงานประมาณ 4,700 คน หรือคิดเป็น 32 % ของจำนวนพนักงานทั้งหมด นอกนั้นเป็นพนักงานซับคอนแทรคและนักศึกษาทวิภาคีกว่า 2,000 คน และมีคนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานถึง 1,200 คน

อยู่ภายใต้สังกัดสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย และสมาพันธ์แรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และโลหะแห่งประเทศไทย (TEAM)

15 ก.ย. 68 สหภาพแรงงานยื่นข้อเรียกร้องขอเพิ่มโบนัสและปรับปรุงสวัสดิการ ซึ่งทำตามปกติมาตลอดทุกปี ซึ่งเป็นไปตามที่ พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 กำหนดไว้ ถึงบทบาทสหภาพแรงงานในการเจรจาต่อรองเพื่อปรับเปลี่ยนสภาพการจ้าง

17 พ.ย. 68 บริษัทยื่นข้อเรียกร้องสวน ขอลดสวัสดิการที่เคยกำหนดไว้

6 ธ.ค. 68: สมาชิกสหภาพแรงงานถูกปิดงานหรืองดการจ้างงานชั่วคราว ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของสหภาพแรงงานแห่งนี้ และสื่อมวลชนก็ลงข่าวครึกโครม และลงแบบผิดๆถูกๆไม่เข้าใจคำว่า “ปิดงาน”

ตอนที่ 1 : เข้าใจคำว่า “ปิดงาน-งดจ้าง ตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518” และผลกระทบจากการปิดงาน

ต้องบอกว่าในประเทศไทยไม่มีกฎหมายฉบับใดเลยที่กำหนดว่า “กำลังแรงกายที่คนงานผลิตงานออกมาชิ้นหนึ่งๆ ควรได้รับการแบ่งสันปันส่วนเท่าไร” นี้เป็นสิทธิของบริษัทที่จะกำหนดขึ้นมา

แม้ว่าพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ได้กำหนดให้คณะกรรมการค่าจ้างที่มีปลัดกระทรวงแรงงานเป็นประธานกรรมการ ร่วมกับผู้แทนภาครัฐ 4 คน ฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างฝ่ายละ 5 คน เป็นผู้พิจารณาว่าแต่ละปีจะปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำกี่บาท

ซึ่งที่ผ่านมา ก็พบว่า ถ้าสถานประกอบการใดที่ค่าจ้างเลยค่าจ้างขั้นต่ำที่รัฐบาลกำหนดไว้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นแต่อย่างใด หากไม่มีข้อตกลงสภาพการจ้างได้กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว

ดังนั้น เมื่อไม่มีกฎหมายกำหนดไว้ “ค่าจ้างที่จะปรับขึ้น” “โบนัสที่จะได้มา” หรือ “สวัสดิการอื่น ๆ เช่น ค่ารักษาพยาบาล ฯลฯ” จึงต้องมาจากการยื่นข้อเรียกร้องของคนงานต่อบริษัทเพียงเท่านั้น

สำหรับคนทั่วไปแล้ว หรือกระทั่งแรงงานอีกหลาย ๆ กลุ่มก็ตาม ศัพท์ต่าง ๆ ข้างต้นราวกับเป็นคำที่เพิ่งได้ยินครั้งแรกในชีวิต และการเรียกร้องของลูกจ้างในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทุก ๆ ปลายปี จึงเป็นเรื่องของ

“พวกไม่รู้จักพอ เอาแต่ได้ เรียกร้องซะอย่างจะปล้นบริษัท พวกไม่เห็นหัวนายจ้างที่มีบุญคุณให้งานทำ มีข้าวเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย เอาเงินไปกินเหล้า ยา เป็นแค่ลูกจ้างไม่ใช่เจ้าของกิจการอย่ามาทำตัวตีเสมอ เงินลงทุนก็ของนายจ้างทั้งหมด สำนึกที่ให้คุ้มกะลาหัวไม่มีหรือไร”

ทั้ง ๆ ที่ว่าไปแล้ว เรื่องต่าง ๆ ที่ว่ามานั้น ล้วนเป็นขั้นตอนทางกฎหมายทั้งสิ้น

และในประเทศต่าง ๆ ในโลกนี้ที่มีองค์กรสหภาพแรงงาน เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เยอรมัน ฯลฯ ต่างก็ดำเนินไปตามขนบนี้ทั้งนั้น

ที่ประเทศไทย คำว่า “ข้อเรียกร้อง” เป็นศัพท์ในพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ยามที่ลูกจ้างหรือนายจ้างในสถานประกอบการหนึ่ง ๆ ต้องการเปลี่ยนแปลง “สภาพการจ้างที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา”

เช่น เงินเดือน โบนัส สวัสดิการต่าง ๆ กระทั่งการจ่ายทองคำตามอายุงาน ฯลฯ ซึ่งภาษากฎหมายเรียกว่า “ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง”

กฎหมายได้กำหนดขั้นตอนต่าง ๆ ไว้ ดังนี้

§ ให้แต่ละฝ่ายสามารถ “ยื่นข้อเรียกร้องที่ตนเองต้องการ” ต่ออีกฝ่ายอย่างเป็นทางการในรูปของเอกสาร พร้อมทั้งแต่งตั้งตัวแทนเจรจาไม่เกิน 7 คน และที่ปรึกษาที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงแรงงานไม่เกิน 2 คน

§ การยื่นข้อเรียกร้อง สำหรับฝ่ายลูกจ้าง คนที่จะยื่นได้ คือ ลูกจ้างจำนวนไม่น้อยกว่า 15 % ของลูกจ้างทั้งหมดในสถานประกอบการ (ส่วนใหญ่มักพบในกรณีที่ยื่นครั้งแรกหรือไม่มีสหภาพแรงงาน)

หรือสหภาพแรงงานที่ต้องมีสมาชิกไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนลูกจ้างทั้งหมด และต้องมีมติจากที่ประชุมใหญ่เท่านั้น (มักเป็นการยื่นเมื่อข้อตกลงเดิมหมดอายุลง ซึ่งแต่ละที่จะมีอายุ 1–3 ปีเท่านั้น)

ส่วนฝ่ายนายจ้าง คนที่จะยื่นได้ คือ บริษัทนั้น ๆ หรือสมาคมนายจ้าง

§ เมื่ออีกฝ่ายรับข้อเรียกร้องแล้ว ต้องนัดหมายให้มีการเจรจากันภายใน 3 วัน ทั้งนี้ กฎหมายไม่ได้กำหนดว่า ต้องเจรจาให้เสร็จสิ้นภายในกี่วัน และไม่จำเป็นต้องตกลงตามที่ฝ่ายนั้น ๆ ได้ยื่นข้อเสนอมา แต่สามารถปรับลดได้ตามความเหมาะสมและเห็นชอบร่วมกัน

อีกทั้งถ้าข้อเสนอที่ตกลงกันได้นั้น ไม่ว่าจะยื่นโดยลูกจ้างหรือสหภาพแรงงาน ถ้าสมาชิกที่เข้าร่วมลงชื่อ หรือสหภาพแรงงานมีสมาชิกจำนวนเกิน 2 ใน 3 ของคนงานประจำทั้งหมดในโรงงาน

ข้อตกลงที่เกิดขึ้นนี้จะมีผลครอบคลุม ผูกพัน บังคับใช้กับลูกจ้างทุกคนในสถานประกอบกิจการนั้น แม้คนเหล่านั้นไม่ได้เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานหรืออยู่ฝ่ายบริหารของบริษัทก็ตาม เช่น โบนัสจำนวน 8 เดือน จะบังคับใช้กับลูกจ้างทุกคน ไม่ใช่เฉพาะสมาชิกสหภาพแรงงานที่ยื่นข้อเรียกร้องเท่านั้น เป็นต้น

§ ถ้าไม่มีการเจรจากันภายใน 3 วัน ฝ่ายที่ยื่นข้อเรียกร้องต้องแจ้งเป็นหนังสือต่อพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานภายใน 24 ชั่วโมง เรียกว่า “แจ้งข้อพิพาทแรงงาน”

(พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงาน คือ เจ้าหน้าที่กลุ่มงานประนอมข้อพิพาทแรงงานและข้อขัดแย้ง สำนักแรงงานสัมพันธ์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน มีหน้าที่ในการไกล่เกลี่ยข้อขัดแย้งที่ตกลงกันเองไม่ได้ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง)

§ หากมีการเจรจา ถ้าวันใดวันหนึ่งไม่สามารถตกลงกันได้ และแต่ละฝ่ายไม่ประสงค์จะเจรจากันเองอีกต่อไปแล้ว หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขอยุติการเจรจา ให้ฝ่ายที่ยื่นข้อเรียกร้องแจ้งเป็นหนังสือต่อพนักงานประนอมฯ ภายใน 24 ชั่วโมงนับจากเวลาที่ไม่สามารถตกลงกันได้

§ เมื่อแจ้งข้อพิพาทแรงงานต่อพนักงานประนอมฯแล้ว พนักงานประนอมฯ จะเชิญทั้งสองฝ่ายมาพบ (ส่วนใหญ่มักจะเป็นที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดนั้น ๆ) เพื่อแสวงหาข้อยุติร่วมกันให้ได้ โดยกฎหมายกำหนดการเจรจาให้เสร็จสิ้นภายใน 5 วัน

§ ถ้ามีการเจรจา 3 ฝ่ายแล้ว และยังตกลงกันไม่ได้ในเวลา 5 วัน จะเรียกว่า “เกิดข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้”

§ เมื่อนั้น แต่ละฝ่ายจะสามารถดำเนินการได้ดังนี้

(1) นายจ้างสามารถใช้สิทธิปิดงาน หรือลูกจ้างใช้สิทธินัดหยุดงานได้ตามจำนวนวันที่ต้องการอย่างเป็นอิสระ จำนวนเท่าใดก็ได้ แต่จะต้องแจ้งให้อีกฝ่ายหนึ่งและพนักงานประนอมฯ ทราบก่อน 24 ชั่วโมง ในวันที่จะเริ่มต้นปิดงานหรือนัดหยุดงาน

(2) หากนายจ้างและลูกจ้างไม่อยากใช้สิทธิปิดงานหรือนัดหยุดงาน ก็สามารถเจรจากันเองได้ หรือจะให้พนักงานประนอมฯ ร่วมเจรจาด้วยก็ได้

(3) แต่ละฝ่ายสามารถตั้งผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน เพื่อพิจารณาวินิจฉัยในข้อที่ไม่สามารถตกลงกันได้

§ ปิดงาน หมายถึง การที่นายจ้างปฏิเสธไม่ให้ลูกจ้างทำงานชั่วคราว เป็นวิธีการกดดันลูกจ้างให้ยอมตามข้อเรียกร้องที่นายจ้างกำหนด เมื่อลูกจ้างมาทำงานไม่ได้ ก็จะไม่ได้รับค่าจ้างและสวัสดิการที่เกี่ยวข้องกับค่าจ้าง ย่อมเกิดความเดือดร้อนและต้องยอมนายจ้างในที่สุด

กฎหมายไม่ห้ามเรื่องการปิดงานเฉพาะกลุ่ม หรือเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการยื่นข้อเรียกร้อง คนงานกลุ่มอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องยังคงทำงานได้อยู่ต่อไป สามารถนำแรงงานเหมา ค่าแรง (sub-contract) แรงงานข้ามชาติ หรือแรงงานประเภทนักศึกษาเข้ามาทำงานแทนลูกจ้างที่ถูกปิดงานได้

§ นัดหยุดงาน หมายถึง การที่ลูกจ้างไม่ทำงานให้กับนายจ้างเป็นการชั่วคราว เป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ลูกจ้างรวมตัวเพื่อกดดันให้นายจ้างต้องทำตามข้อเรียกร้องของตน ระหว่างนั้นลูกจ้างก็จะไม่ได้รับค่าจ้างจากการทำงานเช่นเดียวกัน (โรงงานยังคงเดินเครื่องผลิตเช่นเดิม และสามารถนำลูกจ้างอื่น ๆ มาทดแทนได้)

§ ถึงที่สุดแล้ว หากข้อพิพาทแรงงานไม่สามารถหาข้อยุติได้ พนักงานประนอมฯ อาจจะเสนอเรื่องต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อพิจารณาออกคำสั่งให้ยุติโดยไว เช่น สั่งให้นายจ้างซึ่งปิดงานรับลูกจ้างกลับเข้าทำงาน และจ่ายค่าจ้างตามอัตราที่เคยจ่ายให้แก่ลูกจ้างนั้น สั่งให้ลูกจ้างซึ่งนัดหยุดงานกลับเข้าทำงานตามปกติ ฯลฯ

จากที่กล่าวมา จึงเห็นได้ว่า “การปิดงาน” หรือ “การนัดหยุดงาน” ไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างลอย ๆ แต่มีการดำเนินกระบวนการก่อนหน้านั้นมาหลายขั้นตอนแล้ว

ดังนั้นการที่บริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้แจ้งปิดงานสหภาพแรงงานไดกิ้นอมตะรักษ์เสรี และสมาชิก รวม 1,500 คน จึงดำเนินการถูกต้องตามกระบวนการกฎหมายทุกประการ

การที่บริษัท กำหนดว่า จะแจกทองคำ หรือไม่แจก ทุกอย่างสามารถยื่นข้อเรียกร้องเปลี่ยนแปลงข้อตกลงสภาพการจ้างนี้ได้ทุกปี ไม่ใช่ข้อกำหนดที่บริษัทจะต้องทำตามที่เขียนไว้ตลอดการจ้างงานของแรงงานนั้นๆ

ลูกจ้างก็ต้องเข้าใจเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

แต่ขอให้นายจ้างทำถูกขั้นตอนตามกฎหมายในการเปลี่ยนแปลงเป็นพอ

กฎหมายให้สิทธินี้นายจ้าง หากจะเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่เลวร้ายลงกว่าเดิม ให้ยื่นข้อเรียกร้องกับสหภาพแรงงานได้เช่นเดียวกัน และเจรจาตกลงกันให้เป็นผลสำเร็จ

ที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายผ่านการเจรจาภายในมาแล้ว 8 ครั้ง

และเข้าสู่การเจรจาร่วมกับพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงาน จ.ชลบุรี มาแล้ว 4 ครั้ง

โดยครั้งต่อไปมีนัดหมายเจรจาวันที่ 8 ธ.ค. นี้

แต่การเจรจาครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2568 ยังไม่สามารถตกลงกันได้ในข้อเรียกร้องทั้งของฝั่งสหภาพแรงงาน และของฝั่งบริษัท

บริษัทฯ จึงขอยุติการเจรจาเมื่อเวลา 12.00 น.

และขอใช้สิทธิตามกฎหมายปิดงานสหภาพแรงงาน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 6 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2568 เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป

ทั้งนี้ผลกระทบสำคัญของการปิดงาน คือ

1) สมาชิกสหภาพแรงงานจะไม่ได้รับค่าจ้างจนกว่าข้อเรียกร้องจะสามารถตกลงกันได้ และจะไม่ได้รับสวัสดิการต่างๆ เช่น ค่ารักษาพยาบาล สวัสดิการเงินช่วยเหลือต่างๆ ประกันสุขภาพ ประกันชีวิต และรางวัลอายุงานที่สะสมมาในแต่ละปี เป็นต้น

2) โดยปกติแล้วที่ผ่านมา บริษัทที่ “เก๋าเกมส์และอยากล้มสหภาพแรงงาน” จะออกประกาศฉบับที่ 2 ต่อเลย แต่กรณีนี้ยังไม่เห็นท่าทีเรื่องนี้ของบริษัทในเรื่องนี้ ก็แปลกใจอยู่ว่าบริษัทคิดอะไร !

โดยมักจะระบุว่า หากพนักงานที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานประสงค์ที่จะขอกลับเข้ามาทำงาน บริษัทจะคืนสิทธิสวัสดิการทั้งหมด รวมทั้งค่าจ้างในวันที่หยุดงานไป

โดยจะต้องกรอกแบบฟอร์มที่ระบุว่า ขอกลับเข้าทำงานและปฏิบัติตามระเบียบปฏิบัติบริษัท , ขอถอนข้อเรียกร้องเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างประจำปี 2568 ของสหภาพแรงงาน และไม่ขอเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องฉบับดังกล่าวใดๆทั้งสิ้น , ยอมรับข้อเรียกร้องฯของบริษัททั้งหมด

พนักงานที่แจ้งความประสงค์จะกลับเข้าทำงาน บริษัทจะจ่ายโบนัสให้ .........เดือน พร้อมเงินพิเศษ จำนวน...............บาท ภายในวันที่.........ธันวาคม 2568

การที่สมาชิกสหภาพแรงงานกลัวเรื่องการปิดงาน เป็นเพราะ พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 ที่มีช่องว่าง ดังนี้

§ กฎหมายแรงงานสัมพันธ์ไม่บังคับให้นายจ้างและลูกจ้างต้องเจรจากันเสมอ เมื่อมีการแจ้งข้อเรียกร้องต่อกัน

นี้จึงแปลความได้ว่า นายจ้างไม่จำเป็นต้องมาไกล่เกลี่ยกับสหภาพแรงงานเพื่อให้เกิดการยุติโดยไวแต่อย่างใด

สามารถทอดเวลาไปได้จนกว่าลูกจ้างจะเป็นฝ่ายทนไม่ไหวและยอมรับข้อเรียกร้องของนายจ้างในที่สุด หรือกระทั่งลาออกจากงานไปเอง

เพราะไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากค่าจ้างในการดำรงชีพซึ่งบริษัทแทบจะไม่ได้รับความเสียหายใดๆเลย

อีกทั้งยังทำให้เกิดความแตกแยกในกลุ่มลูกจ้างที่ถูกปิดงานด้วยกันเอง จากการนำเงินโบนัสมาเป็นสิ่งล่อให้ต้องยอมรับข้อเสนอนายจ้าง

§ กฎหมายไม่ได้กำหนดระยะเวลาสิ้นสุดในการปิดงานไว้ นายจ้างสามารถปิดงานได้นานเพียงใดก็ได้ ทำให้ลูกจ้างที่ถูกปิดงานได้รับความเดือดร้อนจากการขาดรายได้นานเกินสมควร

พูดง่ายๆ การปิดงาน เป็นเครื่องมือในการไล่ลูกจ้างออกจากงานอย่างถาวร โดยไม่ต้องมีความรับผิดชอบอย่างในกรณีการเลิกจ้างตามปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลูกจ้างที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง ซึ่งก็คือสมาชิกสหภาพ แรงงานนั้นเอง

เพราะเมื่อไม่มีรายได้ส่าหรับเลี้ยงชีพ

ในที่สุดลูกจ้างเหล่านั้นก็จะต้องออกไปหางานทำใหม่ และเป็นฝ่ายลาออกไปเอง

โดยนายจ้างไม่มีหน้าที่จ่ายค่าชดเชยให้อย่างกรณีการเลิกจ้างตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานแต่อย่างใด

§ เมื่อการพิพาทแรงงานยุติ นายจ้างมักจะไม่มอบหมายงานให้ลูกจ้างที่ถูกปิดงานได้กลับเข้าไปทำงานในสถานประกอบการเหมือนเดิม

โดยทั่วไปแล้วนายจ้างสามารถนำบุคคลอื่นเข้ามาทำงานแทนลูกจ้างในระหว่างที่มีการปิดงานได้

ดังนั้นนายจ้างก็แทบจะไม่มีความจำเป็นต้องนำลูกจ้างชุดเดิมกลับเข้ามาทำงานอยู่แล้ว

หากว่าเป็นการปิดงานบางส่วนโดยเฉพาะสมาชิกสหภาพแรงงาน นายจ้างยิ่งไม่ต้องการรับลูกจ้างชุดดังกล่าวนี้กลับเข้ามาทำงาน

เพราะย่อมคาดการณ์ในอนาคตได้ว่าลูกจ้างกลุ่มเหล่านี้อาจดำเนินการเรียกร้องสิ่งต่างๆซึ่งขัดต่อผลประโยชน์ของนายจ้างเพิ่มเติมอีก โอกาสที่ลูกจ้างเหล่านี้จะได้กลับเข้ามาทำงานจึงมีน้อยมาก

แม้นายจ้างจะยังคงจ่ายค่าจ้างให้คนงานแต่ไม่มอบหมายงานให้ลูกจ้างทำ ทำให้ลูกจ้างเหล่านี้เกิดความท้อใจและรู้สึกหมดคุณค่าในตัวเองจนต้องออกจากงานไปเอง

ซึ่งมีผลเท่ากับเป็นการกำจัดลูกจ้างให้พ้นไปเสีย โดยไม่ก่อให้เกิดหน้าที่อย่างใดแก่นายจ้าง อย่างในกรณีการเลิกจ้างตามนัยของกฎหมายคุ้มครองแรงงานเช่นเดียวกัน

นี้คือ ความเข้าใจเรื่องการปิดงาน ตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 ที่กำหนดแนวทางการดำเนินการเรื่องนี้ไว้

อ่านตอนที่ 2 ต่อได้เลยค่ะ: ข้อเรียกร้องสวน ขอจ่ายเงินแทนทองคำ ความเฮงซวยของกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ที่เปิดช่องให้นายจ้างกดขี่ลูกจ้างแบบให้ใบอนุญาตอย่างถูกกฎหมาย

 

 

บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์ เลขานุการในคณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา

5-12-68



08/Dec/2025

เกาะติดข่าวกฎหมาย

>> อ่านต่อ

บทความพิเศษ

สหภาพแรงงานไดกิ้น ตอนที่ 3 เจาะลึกงบไดกิ้น กำไร 5.9 พันล้าน กับปฏิบัติการฟอกขาว ตัดสวัสดิการทองคำ ผ่านช่องโหว่กฎหมายแรงงานสัมพันธ์ สหภาพแรงงานไดกิ้น ตอนที่ 3 เจาะลึกงบไดกิ้น กำไร 5.9 พันล้าน กับปฏิบัติการฟอกขาว ตัดสวัสดิการทองคำ ผ่านช่องโหว่กฎหมายแรงงานสัมพันธ์

เที่ยงวันนี้ 8 ธันวาคม 68 ฉันนั่งอ่านข้อมูลการเงินของบริษัท ไดกิ้นอินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่...

สหภาพแรงงานไดกิ้น ตอนที่ 1 : เข้าใจคำว่า “ปิดงาน-งดจ้าง ตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518” และผลกระทบจากการปิดงาน สหภาพแรงงานไดกิ้น ตอนที่ 1 : เข้าใจคำว่า “ปิดงาน-งดจ้าง ตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518” และผลกระทบจากการปิดงาน

สหภาพแรงงานไดกิ้นอมตะรักษ์เสรี เป็นสหภาพแรงงานที่ฉันมักอิจฉาเสมอ เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา โบนัสและสว...

Update 13-11-68 : สูตร CARE ประกันสังคม  “CARE ทุกคน” หรือ “ไม่ FAIR สำหรับทุกคน” Update 13-11-68 : สูตร CARE ประกันสังคม “CARE ทุกคน” หรือ “ไม่ FAIR สำหรับทุกคน”

ฉันเห็นบรรยากาศเรื่องการถกเถียงเรื่อง สูตร CARE ประกันสังคม ว่า “CARE ทุกคน” หรือ &ldquo...

update 13-11-68 : การกระทำแบบใดเรียกว่า การโยกย้ายงานที่ไม่เป็นธรรม update 13-11-68 : การกระทำแบบใดเรียกว่า การโยกย้ายงานที่ไม่เป็นธรรม

อภิญญา สุจริตตานันท์ อดีตอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ปัจจุบันเป็นประธานคณะกรรมการแรงงานสัมพั...

>> บทความอื่นๆ

กฎหมาย

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2550)
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.)
ประมวลกฎหมายอาญา
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522
พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533
พระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537
พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543
พระราชกำหนด การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560

หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

กระทรวงแรงงาน
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
กรมจัดหางาน
กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
สำนักงานประกันสังคม
สำนักแรงงานสัมพันธ์
สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว
สำนักงานบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ
ศาลแรงงานกลาง
คณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร
คณะกรรมาธิการการแรงงานและสวัสดิการสังคม วุฒิสภา